The post DECATHLON THAILAND appeared first on Way of Backpacker.
]]>ในบ้านเรา Decathlon Thailand นั่นมีหน้าร้านมานานกว่าสิบปีแล้ว ที่บางนาทาวเวอร์ ที่เดียวในไทย พูดงี้หลายคนถึงกับร้องอ๋อออออ หลายคนเคยไป หลายคนอยากไปแต่ไม่สะดวกเพราะไกล หลายคนเลือกสั่งซื้อทางออนไลน์ แต่สโตร์นั้นเป็นของสิงคโปร์ (เหมือน apple store online บ้านเราแต่ของส่งจากสิงคโปร์)
ในปีนี้เลยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อสาขาแรกและสาขาเดียวที่บางนาทาวเวอร์กำลังจะปิดตัว แล้วเปลี่ยนไปขยายสาขาในห้างโลตัส (ตอนนี้เปิดเฉพาะในกรุงเทพก่อน) เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายกว่า โดยช่วงแรกนี้ไปเปิดสาขาที่
เกริ่นประวัติร้านมาคร่าว ๆ พอละ วันนี้ผมไปเดิน DECATHLON สาขาโลตัสพระราม 4 ขอบอกว่าใหญ่มากกกกกก มากกว่าที่คิดไว้ซะอีก มีแยกหมวดหมู่กิจกรรมไว้อย่างชัดเจน
แต่ที่ผมตั้งใจมาดูคือ หมวดเสื้อผ้าและอุปกรณ์เดินทาง และเดินป่า โดยเฉพาะยี่ห้อ QUECHUA อ่านว่า ‘เกอร์ชู’ ไม่ใช่ เกย์ชัวร์ นะครับ
ยี่ห้อ QUECHUA (http://www.quechua.fr/) เนี่ยเป็นแบรนด์แห่งชาติของฝรั่งเศสและนิยมมากในยุโรป จะเห็นฝรั่งฝั่งยุโรปที่มาเที่ยวบ้านเราใช้ยี่ห้อนี้กันเยอะมาก ก็ของเค้าดีจริง ๆ นะ ผมก็มีใช้เหมือนกัน
คนไทยยังรู้จักยี่ห้อนี้กันน้อยอยู่ไม่เหมือนยี่ห้อฝั่งอเมริกาอย่าง Columbia, The North Face
ก็เลยมาดูว่าสินค้าในแบรนด์หลักจะมีอะไรนำมาขายบ้าง ก็เยอะนะ ทั้งเสื้อผ้า เสื้อแจ้กเก็ต รองเท้าเดินป่า เป้เดินทางขนาดใหญ่ เป้เดย์แพ็ค และอีกเยอะ เดินถ่ายรูปมาไม่หมด ที่สำคัญราคาเอื้อมถึงได้ง่าย ๆ
ปอลิง : พวกแจ้กเก็ต 3 in 1 หรือรุ่นที่ผมใช้อยู่ สาขาบ้านเราไม่ยักมีแฮะ ใครสนใจคงต้องสั่งจากเวปไซด์เท่านั้นล่ะ ดีตรงที่เขารวมภาษีและค่าส่งมาเรียบร้อยแล้ว ( imported from DECATHLON Singapore)
The post DECATHLON THAILAND appeared first on Way of Backpacker.
]]>The post เพาเวอร์แบงค์ ELOOP E13 appeared first on Way of Backpacker.
]]>แล้วผมก็เลือกรุ่นยอดนิยมที่ออกมานานแล้ว แต่ยังได้ขายดีที่สุดของยี่ห้อนี้คือรุ่น eloop E13 ที่มีความจุกำลังดี ไม่มากไปหรือน้อยไป ที่ 13,000 mAh
แกะกล่องออกมาก็เหมือนเคยครับ มีตัวเครื่อง eloop E13 อันนี้ผมสั่งสีทองให้เพื่อน มันทองตรงไหนเนี่ย นึกว่าจะทองแบบโรสโกลด์ของ iPhone ซะอีก ผิวสัมผัสดีครับ สากมือไปทั้งตัว ไม่ต้องกลัวว่าจะจับแล้วลื่นปรื้ด และมีสายชาร์ต micro USB มาให้ 1 เส้น ไม่มีหัวปลั้กมาให้นะครับ
ผิวสัมผัสรุ่น eloop E13 ทำได้ดีมาก รู้สึกถือแล้วติดมือดี ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จับได้กระชับ และไม่หนาเทอะทะ งานประกอบเรียบร้อยแน่นหนาดี ด้านหน้าจะมีหลอดไฟบอกระดับแบตเตอรี่ 4 ดวงเหมือนรุ่นอื่น ๆ พอร์ต USB มี 2 พอร์ตแบ่งเป็น 1.0A กับ 2.1A สำหรับชาร์ตมือถือและ iPad หรือ tablet พร้อมกันได้
ด้วยความจุถึง 13,000 mAh เวลาชาร์ตไฟนี้แทบจะวางลืมไปเลย เพราะใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเต็ม หลังกล่องระบุว่าชาร์ตเต็มใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง อย่างว่านะ แบตใหญ่ความจุเยอะ เวลาใช้ก็ใช้นาน เวลาชาร์ตก็ชาร์ตนานเหมือนกัน แต่ที่ชอบคือเสียบชาร์ตแล้วตัวเครื่อง eloop E13 ไม่มีความร้อนเลย ทั้งทีทิ้งไว้หลายชั่วโมง ส่วนตัวปลั้กไฟ USB นี่ร้อน ๆ อุ่น ๆ เป็นปกติครับ
และก็เหมือนเคยด้วยความเป็นยี่ห้อที่ขายดี โดยเฉพาะรุ่นยอดนิยมแบบนี้ ของปลอมย่อมทำออกมาหลอกขาย ก็ต้องเช็คด้วยการขูด Serial code ที่สติกเกอร์หน้ากล่อง โดยเช็คในเวป www.szeloop.com ถ้าเป็นของแท้ก็จะมีข้อความตามรูปครับ พร้อมวันที่เราลงทะเบียนไว้
The post เพาเวอร์แบงค์ ELOOP E13 appeared first on Way of Backpacker.
]]>The post เพาเวอร์แบงค์ ELOOP E17 appeared first on Way of Backpacker.
]]>
เลือกไปเลือกมาก็ได้รุ่นนี้มาแหละครับ eloop E17 ที่ขนาดบางเบาและสวยดี (powerbank นะ) ความจุไม่ต้องมากนัก ใช้กะมือถือเครื่องเดียว 10,000 mAh ก็เหลือ ๆ ละ อีกอย่าง ถ้าความจุเยอะ ระยะการชาร์ตตัวมันก็นานตามไปด้วยหลายชั่วโมงอยู่
ก็ไม่รู้ว่ายี่ห้อ eloop ของจีนมันจะดีมั้ย เพราะดันชื่อคล้าย ๆ กับ sanyo eneloop ยี่ห้อเดิมที่ใช้ผมอยู่ (ตอนนี้ขายสิทธิ์ไปให้ panasonic ละ) เช็คในเวปไซด์ของ eloop นี้แล้วก็ดูน่าเชื่อถือนะ ไม่ใช่ยี่ห้อโนเนมไก่กาแบบที่ขายตามตลาดนัด แบบนั้นผมไม่กล้าซื้อมาลอง แม้จะราคาถูกแต่กลัวมันจะระเบิดน่ะ และมันคงจะเป็นสินค้าที่ขายดีมากแน่ ๆ มากจนมีของปลอมทำออกมาขาย เขาว่างั้นนะ
ทางผู้ผลิตเลยให้เราสามารถเช็คจาก serial code ที่สติกเกอร์ข้างกล่อง ในเวปไซด์ www.szeloop.com เพื่อดูว่าเป็นของแท้รึเปล่า ซึ่ง E17 ของผมนี้ก็เป็นของแท้ ก็น่าเชื่อถือได้นะ งานประกอบเรียบร้อย สวยงาม ชอบตรงที่น้ำหนักเบา ส่วนใช้งานดีรึเปล่า แล้วจะมาเล่าให้ฟังในคราวต่อไปนะครับ ของแบบนี้ต้องดูกันยาว ๆ เพราะ sanyo eneloop ของผมยังใช้มาถึงวันนี้เป็นปีที่ 4 เซลล์แบตก็ยังไม่เสื่อมเลย (แต่ราคามันก็ซื้อ eloop อันนี้ได้หลายอันนะ สมราคาแล้วล่ะ)
The post เพาเวอร์แบงค์ ELOOP E17 appeared first on Way of Backpacker.
]]>The post ASUS EeeBook X205TA appeared first on Way of Backpacker.
]]>ทุกครั้งที่เดินทางไปไหน ผมจะพกแค่ iPad ไว้เพื่อดูแผนที่ google map และใช้เป็นฮาร์ทไดร์ไว้สำหรับแบคอัพภาพจากกล้อง กับใช้เล่นโซเชียลแค่นั้น
แต่หลาย ๆ ครั้งอยากเขียนอะไรที่ไปพบเจอมาตามประสาคนอยากเล่าในเวปไซด์ แบบไม่ต้องรอกลับมาเปิดคอมที่บ้าน เพราะป่านนั้นคงไม่ว่าง หรือไม่มีอารมณ์จะเขียนแล้ว ซึ่ง iPad มันทำไม่ได้ หรืออาจได้แต่ไม่สะดวกนัก ตอนนี้ก็เลยมีความคิดว่า จะพกแลปท้อปไปด้วยดีมั้ย จะกลายเป็นภาระไปมั้ยนะ ???
ก็มีเพื่อน ๆ แนะนำว่าไหน ๆ ก็มี iPad แล้วก็แค่ซื้อคีบอร์ดแบบ bluetooth มาใช้ก็จบละ แต่พอไปดูมา ราคาไม่ใช่น้อย ๆ เลย แบบถูก ๆ ก็กลัวว่าจะไม่ทนมือแน่นอน คีบอร์ด bluetooth ต้องใส่ถ่านอีก ที่สำคัญคือมันไม่สวย ครั้นจะซื้อ case iPad แบบที่มีคีบอร์ดในตัวก็มีให้เลือกน้อยเหลือเกิน ไม่ถูกใจ
ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็ยังไม่พ้น laptop computer วันยังค่ำ แต่โจทย์ของผมต้องการแค่เขียนบล้อค ทำงานเอกสารนิด ๆ หน่อย ๆ แต่งภาพถ่ายลงบล้อค ไม่เล่นเกม ไม่ดูหนัง สเปคแลปท้อปจึงไม่จำเป็นต้องเทพ ขอแค่ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แบตอยู่ได้นาน และราคาต้องไม่แรงเกินไป แล้วผมก็เจอกับ ASUS EeeBook X205TA
ASUS EeeBook X205TA เรียกว่าเป็น เน็ตบุ้ค (netbook) มีขนาดเล็กกว่าแลปท้อป เพราะมีหน้าจอเพียง 11 นิ้ว รูปทรงเพียวบาง น้ำหนักตัวไม่ถึง 1 กิโลกรัม แถมยังมี Windows 8.1 Bing ติดมากับเครื่องด้วยไม่ต้องไปติดตั้งเพิ่มต่างหาก และรองรับการอัพเกรดเป็น Windows 10 ได้ด้วยนะ มันช่างดีอะไรเช่นนี้ แถมยังมาพร้อมกับ Office 365 ฟรีปีแรกด้วย ที่สำคัญราคาค่าตัว รวมกับซอฟแวร์ และระบบปฏิบัติการที่ให้มายังอยู่ในหลักพันเท่านั้น
ด้วยความที่สเปกเบา ๆ และราคาน่าสนใจแบบนี้ ผมเลยเรียกว่าเป็น Low cost Netbook for Traveler ที่น่าใช้ที่สุดรุ่นนึง จากที่ได้ลองเอาไปใช้ทำงานนอกบ้าน ในร้านกาแฟตามสมัยนิยม โดยไม่เอาสายชาร์ตติดไปด้วย เพราะอยากรู้ว่า สเปกตามคู่มือ กับรีวิวเมืองนอกบอกไว้ว่าแบตอึดมาก สามารถใช้ได้ถึง 10 ชั่วโมงต่อการชาร์ตเต็ม 1 ครั้ง มันจริงมั้ย ซึ่งก็สอบผ่านตามการใช้งานของผม คือ ต่อ wifi แล้วเปิดเวป เขียนบล้อค โดยเปิดเครื่องไว้ตลอด
พบว่าเครื่องไม่ร้อน ไม่แฮงค์ และไม่อืด ซึ่งก็น่าพอใจ แถมหน้าตาเครื่องก็ดูดีไม่ขี้เหร่ด้วย เอาไปเปิดใช้ในร้านกาแฟไม่รู้สึกขัดเขินอะไร เรื่องการใช้งานแรก ๆ จะยังไม่ชินกับแผงคีบอร์ดนัก พิมพ์ผิดบ่อยเหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่ full keyboard แบบแลปท้อปและยังมีขนาดเล็กกว่า ต้องใช้เวลาให้คุ้นมืออีกนิด
update ล่าสุด ผมอัพเกรดเป็น Windows 10 (32 bit) ไปแล้วไม่มีอาการแฮงค์หรือเรียกหาไดรเวอร์ ทุกอย่างทำงานได้ตามปกติทุกฟังชั่น
สำหรับทริประยะสั้น ๆ ไม่กี่วัน ผมยังคงจะเอา iPad ไปใช้เหมือนเดิม เดี่ยวก็กลับบ้านมาเขียนบล้อคก็ได้ ส่วน ASUS EeeBook X205TA เครื่องนี้ไว้สำหรับเดินทางทางนาน ๆ หลายวัน จะได้มีเรื่องให้อัพเดทเรื่อย ๆ ระหว่างเที่ยว และยังถือไปใช้ในร้านกาแฟตามเทรนด์ทุกวันนี้อีกด้วย
The post ASUS EeeBook X205TA appeared first on Way of Backpacker.
]]>The post เมื่อเลนส์ NIKON 1 เสีย กับบริการของ NIKON THAILAND appeared first on Way of Backpacker.
]]>พอหายตกใจก็เริ่มสำรวจของชิ้นอื่นด้วย พบอีกว่าเลนส์อีกตัวที่เก็บไว้เฉย ๆ ในกระเป๋า ระบบ auto focus ก็น้อคไปอีกตัว !!!!!
วันนี้ก็เลยพาเลนส์ไป admit ล่ะครับ
ก็เลยจะมาบอกว่า พวกกล้องและอุปกรณ์ หมั่นเอามาเช็คสภาพกันบ้าง เพราะจู่ ๆ มันก็พังขึ้นมาดื้อ ๆ แบบไม่มีสาเหตุ ดีนะที่ยังไม่ใช่จะเดินทางวันนี้พรุ่งนี้ ไม่งั้นคงเซ็งแย่ ไม่มีเลนส์ใช้
ผมเอาเลนส์มาส่งซ่อมที่ NIKON SALES (THAILAND) ชั้น 45 อาคาร EMPIRE TOWER ซึ่งที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่และศูนย์บริการครับ
ระหว่างที่รอคิว คนที่นั่งข้าง ๆ เขากำลังคุยกะคุณพนักงานอยู่ มองไปอ้าว เลนส์ Nikon1 10-30 เหมือนเราเลยนี่หน่า ก็เข้าไปคุยกะเขาด้วยปรากฏอาการเดียวกันคือ เลนส์ error เปิดแล้วใช้งานไม่ได้
คุณพนักงานเลยบอกตอนนี้ Nikon กำลังเครมเลนส์รุ่นนี้อยู่คือ Nikon1 10-30 รุ่นแรกเพราะพบปัญหาเรื่องเลนส์ error ไม่เฉพาะในบ้านเรา แต่เครมทั่วโลก ตอนนี้มีจำนวนเยอะมากที่ส่งเข้ามาเครม ที่สำคัญคือ ซ่อมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แม้เลนส์จะพ้นระยะประกันไปแล้ว !!!!!
ผมสงสัยก็เลยถามต่อ แล้วเลนส์รุ่นอื่นในตระกูล Nikon1 มีปัญหานี้มั้ย ? คำตอบคือ มีแต่น้อยกว่าเลนส์ 10-30 เพราะเลนส์ช่วงนี้เป็น Kit คนใช้เยอะที่สุดก็ต้องเครมเยอะสุด แต่ถ้าเจออาการ error ในเลนส์อื่นก็สามารถเอาเข้ามาเครมได้เหมือนกัน ภายใต้เงื่อนไขของบริษัท
ฟังงี้แล้วชื่นใจในบริการของ NIKON นะครับ แม้จะต้องรอนานสักหน่อยก็เถอะ ก็ไม่เป็นไร เห็นว่าอะไหล่ส่งมาจากสิงคโปร์
ส่วนข้อสงสัยว่าแล้วเลนส์ Nikon1 ที่หิ้วจากต่างประเทศ หรือประกันร้าน ทางศูนย์ Nikon Thailand รับเครมด้วยมั้ย รับนะแต่ต้องดูเป็นราย ๆ ไปว่าใช่อาการเลนส์ error ตามเงื่อนไขการเครมมั้ย เคยตกหล่น กระแทกมั้ย
ย้ำว่าเป็นเลนส์ Nikon1 รุ่นแรกที่รับเครมฟรีเท่านั้น พ้นระยะประกันก็เครมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
และเขามีบริการส่งคืนถึงบ้านฟรีด้วย DHL ด้วยนะ หรือจะมารับคืนด้วยตัวเองที่บริษัทก็ได้
ปอลิง : ขอบคุณข้อมูลจากคุณพนักงาน Nikon ด้วยครับ
ปอลิง 2 : สาว ๆ Nikon ยังคงน่ารัก บริการด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย
The post เมื่อเลนส์ NIKON 1 เสีย กับบริการของ NIKON THAILAND appeared first on Way of Backpacker.
]]>The post ประสบการณ์ : สิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทาง appeared first on Way of Backpacker.
]]>ยิ่งแบกเป้ใบใหญ่ ๆ เดินบุเรงบุเรง รองเท้าที่ดีต้องรับแรงกดจากน้ำหนักที่มากได้ เดินได้นาน ไม่ล้า หรือเจ็บส้นเท้าซะก่อน
ผมไม่ใช่แนว trekking ที่ขึ้นเขาลงห้วย จึงเน้นไปที่รองเท้า running ไว้สำหรับเดินในเมืองเป็นหลัก คู่ที่ใช้บ่อยสุดเวลาไปไหนที่คิดว่าต้องเดินบ่อย เดินทั้งวัน ผมเลือก Asics คู่ซ้ายมือ แต่ถ้าเป็นทริปชิล ๆ ก็จะสลับใช้ 2 คู่ที่เหลือ แต่ถ้าไปประเทศที่มีหิมะช่วงนั้น ก็จะเลือกใส่รองเท้าหนังหุ้มข้อที่กันน้ำได้ และมีดอกยางลึก ๆ ไป
ถ้าให้เรียงลำดับความนุ่ม กระชับ สบายเท้า จากรองเท้าที่ใช้อยู่ตอนนี้
ที่ 1 ยังเป็น Asics Kayano 18 (ตอนนี้ Asics รุ่นใหม่ปรับราคาลงมาแล้วด้วย)
ที่ 2 New Balance 574
ที่ 3 Onitsuka Tiger Colorado 85
เป้เดินทาง และรองเท้าที่ดี จะไม่สร้างปัญหาให้การเดินทางของเรา
The post ประสบการณ์ : สิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทาง appeared first on Way of Backpacker.
]]>The post WISE WORLD WIFI ไปญี่ปุ่น appeared first on Way of Backpacker.
]]>เมื่อครั้งไปเที่ยวภูมิภาคคิวชู (ฟุกุโอกะและจังหวัดใกล้เคียง) ผมได้ใช้บริการของยี่ห้อนึงไว้ พอมาญี่ปุ่นรอบนี้จะเที่ยวรอบ ๆ โตเกียวและไปดูฟูจิซังที่คาวากูชิโกะ ก็มาเจอกับ Wise Incorporation Thailand หรือเรียกอีกชื่อว่า Wise World Wifi เขากำลังมีกิจกรรมร่วมสนุกลุ้นรับพ้อกเก็ตไวไฟไปใช้ที่ญี่ปุ่น อยู่ในช่วงที่ผมจะเดินทางพอดีเลย น่าสนใจนะ
ผมก็ไปร่วมลุ้นกะเขาเหมือนกัน แล้วก็ได้เป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้พ้อกเก็ตไวไฟมาใช้ เลยกะว่าจะเอามาเขียนรีวิวด้วยซะเลย
ก่อนวันเดินทาง ผมต้องไปรับเครื่องพ้อกเก็ตไวไฟด้วยตัวเองที่ ออฟฟิศของ Wise อยู่ที่ตึก อโศกทาวเวอร์ อยู่ใจกลางเมืองเดินทางสะดวกดี
เอาล่ะได้พ้อกเก็ตไวไฟมาแล้ว ตัวเครื่องเป็นรุ่นเดียวกันกับที่ผมเคยเช่าไปฟุกุโอกะซะด้วย คือ เป็นเครือข่ายของ au ที่สัญญาณดีมากและตัวพ้อกเก็ตก็แบตอึดมาก ขนาดที่ใช้เต็มที่ เปิดทั้งวันสบาย ๆ เผลอ ๆ จะใช้ได้ 2 วันเต็ม ๆ โดยชาร์ตเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เวปไซด์ และรายละเอียดการจองพ้อกเก็ตไวไฟ คลิก -ที่นี่-
The post WISE WORLD WIFI ไปญี่ปุ่น appeared first on Way of Backpacker.
]]>The post เป้ OSPREY FARPOINT 40 appeared first on Way of Backpacker.
]]>แต่ด้วยขนาดของฟาร์พ้อยด์ 70 รวมถึงรุ่นฟาร์พ้อยด์ 55 มันมีขนาดที่ใหญ่เกินกว่าจะสามารถนำขึ้นเครื่องได้ (carry-on) ผมจึงต้องมองหากระเป๋าเดินทางใบใหม่ที่มีขนาดเล็กลงมา (cabin size) เพื่อที่จะถือขึ้นเครื่องได้เลยโดยไม่ต้องทำการเช็คอินกระเป๋า สำหรับทริปเดินทางที่ไม่ต้องขนสัมภาระไปเยอะ หรือไปไม่กี่วัน หรือแม้แต่การเดินทางด้วยสายการบินโลว์คอส ที่ต้องซื้อน้ำหนักเพิ่ม บางครั้งก็ดูว่าไม่จำเป็น จากที่ได้เปรียบเทียบหลาย ๆ รุ่นหลาย ๆ ยี่ห้อในตลาดแล้ว สุดท้ายก็ไม่แคล้วมาจบลงที่ ออสเปร ฟาร์พ้อยด์ 40 (Osprey Farpoint 40) จนได้เพราะตอบโจทย์ผมที่สุดละ
ออสเปร ฟาร์พ้อยด์ 40 (Osprey Farpoint 40) ถอดแบบมาจากรุ่นพี่ ฟาร์พอยด์ 70 และ 55 มาเป้ะ คือเป็นได้ทั้งกระเป๋าหิ้ว และเป้สะพายหลังในใบเดียวกัน แต่สิ่งที่รุ่นน้องอย่างฟาร์พ้อยด์ 40 แตกต่างออกไปคือ จะไม่มีเป้เดย์แพคแยกออกมา แต่จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวทำให้รุ่นนี้มีช่องใส่ของ ใส่เสื้อผ้าและช่องใส่โน้ตบุ้คคอมพิวเตอร์รวมอยู่ด้วย เรียกว่าใบเดียวจบ ที่สำคัญเป็นเคบินไซด์ (cabin size) ถือขึ้นเครื่องใส่ในช่องเหนือศีรษะได้พอดี
ด้วยความที่ ออสเปร ฟาร์พ้อยด์ 40 เป็นกระเป๋าขนาดกลางน้ำหนักเบา จึงถูกออกแบบให้มีความอเนกประสงค์มากกว่ารุ่นพี่ โดยนอกจากจะแปลงร่างเป็นเป้สะพายหลังได้แล้ว ยังเป็นกระเป๋าสะพายข้างได้อีก ออกแนวดัฟเฟิ่ล (duffle bag) โดยให้สายสะพายมาอีกเส้น สามารถถอดเก็บได้
ผมลองเอามาเทียบความยาวของแผ่นรองหลัง ของฟาร์พ้อยด์ 40 และ 70 ก็ไม่มีความแตกต่าง ขนาดเท่ากันทั้งคู่ แต่ความสูงของกระเป๋าต่างกันชัดเจน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฟาร์พ้อยด์ 70 และ 55 ถึงถือขึ้นเครื่องไม่ได้ ส่วนฟาร์พ้อยด์ 40 ก็ได้ใจข้อนี้ไปเต็ม ๆ
เรื่องของขนาด ผมสูง 185 เซน เลยใช้เป้ออสเปรขนาด M/L เพราะช่วงสายรัดสะโพก (hip belt) จะตรงกับตำแหน่งกระดูกเชิงกรานพอดี เคยลองขนาด S/M ดูแล้วมันลอยขึ้นมา เพราะแผ่นรองหลังจะสั้นกว่า ทำให้ไม่กระชับเวลาสะพาย และแน่นอนที่ขนาด M/L นั้นใหญ่กว่า S/M อยู่นิดนึงทั้งปริมาตรความจุ และน้ำหนัก
ดังนั้นทุกครั้งที่ซื้อเป้ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็ตาม ต้องลองสะพายและดึงสายรัดต่าง ๆ ให้เรียบร้อยทุกจุดนะครับ จะรู้ว่าเป้ใบไหนที่เข้ากับแผ่นหลังของเราที่สุด
ออสเปร ฟาร์พ้อยด์ 40 (Osprey Farpoint 40) ยังมีจุดเด่นเรื่องความปลอดภัย ตรงที่ซิปสามารถล็อคได้ถึง 2 ตำแหน่ง คือช่องใส่โน้ตบุ้คคอมพิวเตอร์ และช่องใส่เสื้อผ้า (ส่วนในรุ่นฟาร์พ้อยด์ 55 และ 70 ซิปจะล็อคได้จุดเดียวคือใบหลักที่ใส่เสื้อผ้าเท่านั้น ส่วนเป้เดย์แพคจะล็อคซิปไม่ได้)
กระเป๋าเป้ขนาด 40 ลิตรใหญ่ขนาดไหน ? ผมลองจับเป้เดินทางใบเก่าที่ใช้อยู่บ่อย ๆ คือ Karrimor KODIAK 25+5 กับเดย์แพค Deuter GOGO 25L มาวางเทียบกับ Osprey Farpoint 40 ก็ดูไม่แตกต่างกันเลย แถมดูเล็กกว่าด้วย
ตอนแรกที่ผมไปหาซื้อรุ่นนี้ อยากได้สีน้ำเงิน Lagoon Blue เพราะฟาร์พ้อยด์ 70 ของผมเป็นสีเทาดำ Charcoal Grey อยู่แล้วเดี๋ยวจะซ้ำกัน ปรากฏขายหมดไปละ จะเหลือก็แต่ไซด์ S/M ซึ่งผมก็ลองละไม่เข้ากับหลัง สุดท้ายก็เลยได้ M/L สีเทาดำสีเดิมมาจนได้ (Farpoint series มีทั้งหมด 3 สีครับ Charcoal Grey , Lagoon Blue , Mud Red)
ข้อมูลผลิตภัณฑ์ : Osprey
รีวิว ออสเปร ฟาร์พ้อยด์ 70 (Osprey Farpoint 70)
The post เป้ OSPREY FARPOINT 40 appeared first on Way of Backpacker.
]]>The post คัดลอกเพลงจาก iPod โดยไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม appeared first on Way of Backpacker.
]]>และเป็นที่รู้กันว่า apple มีนโยบายเรื่องการป้องการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นสำคัญ ดังนั้นเพลงที่อยู่ในไอพอตจะไม่สามารถคัดลอกหรือโยกย้ายไปไหนได้อีก แม้แต่ในโปรแกรมไอทูน (iTunes) ก็เช่นกัน นั่นคือความเชื่อที่มีมานานมากตั้งแต่สมัยเพิ่งจะมีไอพอต
ยังจำได้เมื่อครั้งที่ซื้อไอพอตเครื่องใหม่มา แต่เพลงในไอทูนผมลบทิ้งไปเยอะละเพราะเก็บไว้ก็มีแต่เสียพื้นที่ในไดร์ C ซะเปล่า ๆ จะลงเพลงอีกครั้งก็ต้องขนซีดีมาเป็นตั้ง ๆ แล้วต้องมานั่งอิมพอร์ต (import) เพลงแต่ละอัลบั้ม มันช่างน่าเบื่อและปวดหัวที่สุดกว่าจะเสร็จ ยิ่งผมชอบที่จะจัดการอัลบั้มเพลงเอง โดยใส่ทั้งปกอัลบั้ม ชื่อนักร้อง ชื่อเพลง เพื่อให้ดูเป็นระเบียบ ซีดีเพลงแผ่นไหนที่ไม่ลงข้อมูลมาให้เมื่อต่ออินเตอร์เน็ต ก็จะขึ้นเป็น Track 1 2 3 … ก็ต้องมาพิมพ์ชื่อเพลง ชื่อนักร้องใส่เอง ยิ่งเพลงไทยต้องมาสะกดเป็นภาษาคาราโอเกะ ใช่ครับ ไอพอตคราสสิคไม่รองรับการแสดงผลเป็นภาษาไทย กว่าจะเสร็จเนี่ยก็หลายวัน แค่คิดก็เบื่อแล้วครับ
ทุกวันนี้สำหรับคนที่ต้องการจะคัดลอกเพลงที่มีอยู่ในไอพอต เท่าที่ผมหาดูวิธีต่าง ๆ จาก google ส่วนใหญ่ทุกคนทุกสำนักจะบอกเหมือนกันคือการลงโปรแกรมเสริมที่มีชื่อว่า แชร์พอต(Sharepod) ซึ่งบอกว่ามีสรรพคุณเหมือนโปรแกรมไอทูน แต่ต่างกันตรงที่สามารถคัดลอกเพลงจากเครื่องไอพอตลงมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้
ผมก็ลองโหลดเจ้าแชร์พอตนี้มาใช้ดูนะ เพราะเป็นโปรแกรมฟรี (free ware) แต่ปรากฎว่าไม่สามารถเปิดโปรแกรมนี้ได้ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลองหลายครั้งจนถอดใจไม่เอาละโปรแกรมนี้ ก็เลยหาวิธีอื่น ๆ มาลองทำต่อไป
เอาล่ะเรามาเริ่มกันเลยครับ เปิดคอมพิวเตอร์ เชื่อมต่อไอพอตเครื่องที่มีเพลงต้นฉบับให้เรียบร้อย แล้วทำตามขั้นตอนนี้ครับ
จากนั้นก็กลับมาที่หน้าหลัก แล้วดับเบิ้ลคลิกที่ไอพอตเครื่องที่มีเพลงต้นฉบับ
คลิกเข้ามาแล้วเราจะเจอโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนไว้ นั่นคือ iPod_Control ก็คลิกเข้าไปครับ
จะพบโฟลเดอร์อีกหลายกล่องอยู่ในนั้น ให้คลิกที่โฟลเดอร์ Music ครับ
คลิกเข้ามาแล้ว เราจะพบโฟลเดอร์เพลงทั้งหมดที่อยู่ในไอพอตนี้ จำนวนโฟลเดอร์ขึ้นอยู่กับจำนวนเพลงในไอพอตครับ หมายเลขกำกับแต่ละโฟลเดอร์จะเริ่มที่ FOO ครับ โฟลเดอร์ที่เห็นยังเป็นตัวจาง ๆ อยู่เพราะเรายังซ่อน (Hidden) เอาไว้
จากนั้นให้เลือกโฟลเดอร์ที่ต้องการจะคัดลอก จะกล่องเดียว หลายกล่อง หรือทั้งหมดก็ได้ จากนั้นให้ คลิกขวา แล้วเลือก Properties
หลังจากที่คลิกขวาแล้วเลือก Properties แล้วจะมีหน้าต่างขึ้นดังภาพ
ต่อไปก็ไปที่โปรแกรมไอทูน (iTunes) ให้คลิกไปที่ File แล้วเลือก Add Folder To Library
ขั้นตอนการลงโฟลเดอร์ใน Libraries นั้นง่าย ๆ
เมื่อดาวน์โหลดโฟลเดอร์จนครบทุกกล่อง และเลือกทั้งหมด จะเป็นแบบนี้ จากนั้นกด Select Folder เพื่อยืนยัน
รอจนดาวโหลดโฟลเดอร์ลงใน Library อีกรอบ คราวนี้จะแตกเป็นชื่อเพลงทั้งหมด เมื่อเสร็จแล้วก็คลิกเลือกเพลงที่ต้องการ หรือจะเลือกทุกเพลงโดยกด Ctrl + A แล้วลาก (drag) ไปลงใน iPod เครื่องที่ 2 ได้เลย หรือจะเก็บไว้ใน Library เฉย ๆ ก็ได้
มีข้อแนะนำเล็กน้อยสำหรับวิธีนี้
The post คัดลอกเพลงจาก iPod โดยไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม appeared first on Way of Backpacker.
]]>The post เม้าส์ไร้สาย MICROSOFT 1850 appeared first on Way of Backpacker.
]]>เม้าส์ (mouse) ตัวที่ผมใช้ประจำจะเป็นเม้าส์มีสาย แบบเบสิคที่สุดราคาไม่แพงแต่เน้นความทนทาน แต่ก็มีเกะกะบ้างเวลาอยู่บนโต้ะกาแฟที่มีพื้นที่จำกัด ยี่ห้อที่ใช้ได้นานที่สุดเห็นจะเป็น ไมโครซอฟ (Microsoft) ก็ใช้มานานละ บางครั้งเปลี่ยนโน้ตบุ้คเครื่องใหม่แต่ก็ยังใช้เม้าส์เดิมอยู่ ยอมรับว่าติดยี่ห้อนี้จริง ๆ
และวันนึงก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเม้าส์จนได้ ก็เลยไปหาเลือกตามไอทีมอลล์ ดูว่ามีรุ่นไหนน่าเสียเงินบ้าง ตอนแรกก็คิดว่าจะซื้อรุ่นเดิมนั่นแหละ เพราะขนาดกำลังดี ใช้ทน และที่สำคัญราคาถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้เรียกว่าคุ้มละ
บนแผงเม้าส์ที่เรียงรายยังกะแผงปลาหมึก มีหลายยี่ห้อมาก แต่ผมก็เจาะจงไปที่ไมโครซอฟไว้ก่อน เดี๋ยวนี้จะซื้ออะไรสักอย่างมันง่าย เพราะมีแคตตาล็อคสินค้า บอกรุ่นบอกสเปคไว้คร่าว ๆ ไม่ต้องไปพลิกดูหลังกล่องให้เมื่อย
Microsoft Wireless Mobile Mouse 1850 เป็นเม้าส์ไร้สายที่สะดุดตาผม ด้วยขนาด สเปค และราคาที่น่าคบหา เพิ่มเงินอีกนิดหน่อยจากรุ่นมีสายที่ผมเคยใช้อยู่ไม่กี่บาท น่าสนครับ ไม่ต้องคิดนานไหน ๆ ก็ตั้งใจมาซื้อละ ก็จ่ายเงินทันทีได้เม้าส์กลับมาบ้านเรียบร้อย
แกะกล่องมาดูกันครับว่า หน้าตาเป็นยังไง จะหล่อขนาดไหน
ในกล่องจะมีของให้ 3 อย่างคือ ตัวเม้าส์, ตัวส่งสัญญาณไร้สาย usb wireless, ถ่านอัลคาไลด์ AA 1 ก้อน นอกนั้นจะเป็นคู่มือการใช้งาน และคู่มือการประกันสินค้า และอย่าลืมเก็บใบเสร็จไว้ด้วยนะครับ
เม้าส์เป็นพลาสติกผิวเรียบ ๆ มีอยู่ 3 ปุ่มตามมาตรฐาน ไม่มีฟังชั่นพิเศษอะไร ในคู่มือบอกว่าใช้ได้ทั้งคนถนัดซ้าย และถนัดขวา ตัวลูกกลิ้งเวลาใช้ไม่มีเสียงดังเหมือนเม้าส์ราคาถูก ๆ ทั่วไป สัมผัสนุ่มนวลดี
พลิกมาข้างใต้ เป็นช่องใส่ถ่านขนาด AA 1 ก้อน กับสวิทซ์ปิดเปิด และช่องสำหรับยิงสำแสง รุ่นนี้เป็นเม้าส์ราคาประหยัดจึงเป็นลำแสงสีแดง (ส่วนรุ่นที่ราคาสูง ๆ จะใช้เทคโนโลยี BlueTrack Technology คือใช้งานเม้าส์ได้กับทุกพื้นผิว เช่น บนพรม ที่นอน พื้นผิวที่ขรุขระ)
ถึงจะเป็นเม้าส์ราคาประหยัด แต่ยังมีลูกเล่นในการออกแบบเพื่อการใช้งานด้วย นั่นคือ ช่องเก็บตัว usb wireless จะอยู่ในช่องใส่ถ่าน ทีนี้ถ้าต้องเอาไปใช้นอกบ้านก็ไม่ต้องกลัวหายละ
ผมเป็นคนมือใหญ่ เคยใช้เม้าส์ขนาดมินิ หรือ คอมแพ็คแล้วไม่ถนัด ใช้ไปนาน ๆ จะปวดนิ้ว เหมือนนิ้วล็อค จึงต้องเลือกเม้าส์ที่มีขนาดมาตรฐาน เวลาใช้ฝ่ามือวางลงไปจะพอดีอุ้งมือ แม้จะไม่สะดวกในเรื่องการพกพา แต่ดีต่อสุขภาพนิ้วและมือมากครับ เม้าส์ตัวที่ผมใช้ประจำจะเป็นรุ่นมีสาย ใหญ่พอดีมือ แต่สายที่มีให้มันยาวเกินความจำเป็น เลยต้องม้วนไว้แบบนี้ ดูเกะกะ แต่สำหรับเม้าส์ไร้สายรุ่น 1850 นี้มันช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ลดความเกะกะบนโต้ะทำงานได้เยอะ ขนาดที่เล็กกว่าเม้าส์ตัวเดิมนิดหน่อย อาจต้องทำความคุ้นเคยกันสักพัก ที่สำคัญอย่าเผลอทำหล่น เพราะมันไม่มีสายยึดไว้กับโน้ตบุ้คนะ
การใช้งานก็แสนจะง่าย เพราะไม่ต้องไปลงไดเวอร์อะไรที่ไหน เพียงแค่เสียบเจ้า usb wireless แล้วเปิดสวิทซ์ On ที่ตัวเม้าส์ แค่นี้ก็พร้อมใช้งานแล้ว ส่วนการปรับแต่งก็เข้าไปที่ control panel > hardware & sound > devices & printers > mouse
Microsoft Wireless Mobile Mouse 1850 ตัวนี้ผู้ผลิตเครมไว้ว่า อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ 1 ก้อนอยู่ได้ถึง 6 เดือน อันนี้คงขึ้นกับการใช้งาน และประเภทของแบตเตอรี่ด้วยมั้ง แต่แนะนำว่ายังไงก็ควรจะเป็นอัลคาไลด์ครับ
The post เม้าส์ไร้สาย MICROSOFT 1850 appeared first on Way of Backpacker.
]]>